1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมด้วยสารอาหารครบถ้วน
สุขภาพดวงตาที่ดีเริ่มต้นจากอาหารที่เรารับประทาน การเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ลูทีน ซิงค์ วิตามินซี วิตามินอี อาจจะช่วยชะลอหรือลดการเกิดโรคทางสายตา เช่น โรคจอตาเสื่อม (Macular Degeneration) และโรคต้อกระจก (Cataracts)
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
นอกเหนือจากการรับประทานในสัดส่วนที่เหมาะสม ในแต่ละสัปดาห์ควรมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ห่างไกลจากโรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันสูง หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตัวโรคอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อดวงตา หรือมีปัญหาสายตาในอนาคต
3. ดื่มแอลกอฮอล์อย่างจำกัด
ปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ในแต่ละวันควรอยู่ในระดับที่พอดี เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางสายตาอย่างโรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (Age-Related Macular Degeneration: AMD) และปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ให้น้อยลง โดยทั่วไป ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพปกติไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เกิน 14 หน่วยมาตรฐานต่อสัปดาห์ และควรกระจายการดื่มออกเป็นหลาย ๆ วัน หรืออาจลองงดดื่มแอลกอฮอล์ลงบางวัน
4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นผลเสียต่อดวงตาและสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ โรคต้อกระจก อาจทำลายเส้นประสาทตาจนสามารถทำให้ตาบอดได้ในอนาคต
5. ปกป้องดวงตาจากแสงแดด
แสงแดดสามารถทำร้ายดวงตาได้เช่นเดียวกับผิวหนังของเรา และยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม เมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดหรืออยู่กลางแจ้งจึงไม่ควรปล่อยให้สายตาโดนแสงแดดโดยตรง สามารถสวมแว่นตากันแดดชนิดที่มีเลนส์กรองแสงยูวีเอ (UV-A) และยูวีบี (UV-B) ที่มีป้ายระบุคุณสมบัติในการกรองรังสีได้ 99-100 เปอร์เซ็นต์ เพราะจะมีประสิทธิภาพในการปกป้องได้สูงสุด นอกจากนี้ แว่นตากันแดดบางรูปทรงยังออกแบบมาเฉพาะ เพื่อช่วยถนอมสายตาให้เหมาะกับแต่ละกิจกรรม เช่น ทรงที่หน้าเลนส์และตัวเฟรมค่อนข้างโค้ง (Wrap Around) จะช่วยป้องกันแสงแดดจากทางด้านข้าง หรือแว่นตากันแดดที่ใช้เลนส์ Polarized ซึ่งเป็นเลนส์ที่เหมาะสมกับกิจกรรมกลางแจ้งและยังลดแสงสะท้อนในขณะขับรถได้ดี
6. พักสายตาจากหน้าจอ
การมองจอคอมพิวเตอร์ มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการตาล้า ตามัว ตาแห้ง ปวดศีรษะ มีปัญหาในการปรับโฟกัสให้มองเห็นได้ชัดเจนไปจนถึงรู้สึกปวดบริเวณคอ ไหล่ หรือหลัง เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีอาการตาแห้ง ควรกระพริบตาหรือพักสายตาชั่วครู่จากหน้าจอทุก ๆ 20 นาที เป็นเวลา 20 วินาที โดยให้มองออกไปไกลประมาณ 20 ฟุต และมีการขยับเคลื่อนไหวร่างกายทุก ๆ 2 ชั่วโมง อาจเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างวันบ่อย ๆ ลุกไปเดิน แต่ไม่ควรนั่งแช่หน้าจอตลอดทั้งวัน รวมไปถึงปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือถืออุปกรณ์ให้อยู่ในระดับสายตาพอดี นั่งในท่าที่ถูกต้อง และกะระยะคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากสายตาประมาณ 25 นิ้ว
7. ป้องกันดวงตาเมื่อต้องทำกิจกรรมหรืองานอันตราย
กีฬาหรืองานบางประเภทมีความเสี่ยงทำให้ดวงตาได้รับอันตราย เช่น การบาดเจ็บที่ดวงตาจากการเล่นกีฬา การทำงานในโรงงานและสถานที่ก่อสร้าง หรืองานซ่อมแซมบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการตอกตะปู ใช้สเปรย์ ก็สามารถเกิดอุบัติเหตุกับดวงตาได้ ดังนั้น การสวมแว่นตาหรืออุปกรณ์ป้องกันที่ออกแบบมาเพื่อกิจกรรมเหล่านั้นจะลดอันตรายที่เกิดกับดวงตาให้น้อยลง ซึ่งเลนส์แว่นตาส่วนใหญ่จะทำมาจากโพลีคาร์บอเนต มีความเหนียวและแข็งแรงมากกว่าพลาสติกทั่วไปถึง 10 เท่า อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา
8. โยนเครื่องสำอางเก่าทิ้งไป
เครื่องสำอางประเภทครีมหรือของเหลวมักเกิดแบคทีเรียขึ้นได้ง่ายเมื่อเก็บเกินระยะเวลาที่กำหนดไว้บนผลิตภัณฑ์ สาว ๆ หลายคนมักเสียดายหรือเก็บเครื่องสำอางไว้จนลืม การนำเครื่องสำอางเหล่านั้นมาใช้จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ดวงตาได้ง่าย ดังนั้น ก่อนการใช้เครื่องสำอางบริเวณดวงตาจึงควรตรวจดูวันหมดอายุและลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ว่าอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ หากผลิตภัณฑ์หมดอายุก็ได้เวลาโยนทิ้งไปบ้าง รวมไปถึงไม่ควรใช้เครื่องสำอางร่วมกับกับผู้อื่น ทดลองเครื่องสำอางตัวอย่างตามร้านกับดวงตาโดยตรง และทำความสะอาดผิวหน้าทั้งก่อนและหลังการแต่งหน้าให้สะอาดหมดจด
9. รักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์
คอนแทคเลนส์เป็นวัสดุทางการแพทย์ที่ใช้กับดวงตาอย่างแพร่หลาย และก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาได้ง่ายเมื่อไม่มีการรักษาความสะอาดที่เพียงพอ ก่อนการใส่หรือถอดเลนส์จึงควรล้างมือให้สะอาด ทำตามคำแนะนำในการใส่หรือถอดเลนส์อย่างถูกวิธี ทำความสะอาดตัวเลนส์และตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุกครั้ง เมื่อครบ 2-3 เดือน ก็ควรเปลี่ยนตลับคอนแทคเลนส์อันใหม่ นอกจากนี้ ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์เกินระยะเวลาที่กำหนด สวมคอนแทคเลนส์ในขณะว่ายน้ำ หรือใส่ข้ามวันโดยไม่ถอดออก เพราะมีความเสี่ยงกับการระคายเคืองหรือการติดเชื้อตามมา
10. รู้ปัจจัยเสี่ยงของตนเอง
นอกเหนือจากอายุที่ทำให้ดวงตาเสื่อมไปตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น โรคของดวงตาบางชนิดสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทราบความเสี่ยงด้านสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะประวัติเกี่ยวกับโรคทางดวงตาของบุคคลในครอบครัว การทำความเข้าใจและรู้จักปัจจัยเสี่ยงของตนเองจะช่วยให้ระมัดระวังการใช้ชีวิตด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมที่กระตุ้นให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสายตาและคาดคะเนโอกาสในการเกิดโรค เพื่อใช้ชีวิตแบบไม่เสี่ยง
11. ตรวจตาเป็นประจำ
การเข้ารับการตรวจตาพร้อมกับวัดสายตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคทางดวงตา เพราะโรคบางโรคไม่สามารถสังเกตหรือบอกได้ในช่วงแรก เช่น โรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ โรคเบาหวานขึ้นตา การตรวจตาและวัดสายตาจึงเป็นวิธีเดียวที่ช่วยค้นหาโรคบางโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูง
12. วิตามินและเกลือแร่สำคัญที่ช่วยบำรุงสายตา
การได้รับวิตามินและเกลือแร่อย่างครบถ้วนอาจจะช่วยให้การทำงานของดวงตาเป็นไปตามปกติและป้องกันการเกิดโรคของดวงตา แต่ด้วยวิถีการใช้ชีวิตเร่งรีบในสังคมปัจจุบันส่งผลให้การรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ในแต่ละวันร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ไม่เพียงพอ รวมไปถึงมีการใช้สายตาอย่างผิดวิธี โดยเฉพาะพฤติกรรมการทำงานและการใช้ชีวิตที่มักจะเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตลอดทั้งวัน จึงควรมีการบริโภควิตามินและเกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อดวงตาเข้าไปเพิ่มเติม